วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า...การเข้าใจ

ห่างหายไปนานกับการเขียน 
ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี แต่วันนี้มีรมณ์อยากปล่อย  มีแหละความในใจ ที่เราต้องการจะระบาย 
เรื่องราวในหมู่บ้านเรา ถึงแม้นเราจะไม่เห็นแต่สมัยนี้การติดต่อเทคโนโลยีมันสามารถเชื่อมทันเหตุการณ์ ฉับไว เร็วกว่าใจคิด...จะแลรูปไหร สั่งการให้บริวาลทำ..แป้บเดียวได้แล มีแต่ของกินเท่านั้นแหละที่ต้องนั่งน้ำลายไหล ไม่สามารถส่งถึงไวให้ได้ลิ้มลองกันสดๆ...

ว่ากันด้วยเรื่องการสิทธิที่พึงจะได้  และความเข้าใจ เล็กๆน้อย

เอาแค่ง่ายๆ เรื่อง ของบริจาคน้ำท่วม น้ำท่วมทุ่ง ท่วมบ้าน ท่วมหนน ท่วมทั่ว พอน้ำแห้งหรือยังไม่แห้ง ก็จะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยหรือ บริจาคสิ่งของ บรรเทาทุกข์ให้ในยามขับขัน 

ฉันไปประสบภัยน้ำท่วมอยู่สองอาทิตย์ จำได้ว่า มันไม่ใช่ทุกข์มาก มันไม่ใช่สาหัสหนักแรง เพียงแต่เราได้รับความเดือดร้อนตรง การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่สะดวก 

วันแรกๆของน้ำท่วม ชีวิตสดชื่นแหละ ได้กลิ่นไอน้ำ หอมๆ สดๆ ที่ไหลมาตามคันนา เจิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนท่วมแค่กลางขา ไปมาหยับจะลำบาก...หลายวันผ่านไป เริ่มเครียด น้ำกัดเท้ามั้ง มดกัด ตะขาบเกาะผ้า หญ้าเริ่มเน่า ข้าวเริ่มเปื่อย ข้าวสารที่มีเริ่มหมด จากสนุกสนานกลายเป็นทุกข์ รู้สึกไม่ค่อยชอบน้ำเข้าแล้วสิ  นั่นคือสิ่งที่เกิดจากน้ำท่วม...

ผลจากน้ำท่วมคือ รอของบริจาค ได้ยินเค้าประกาศให้ไปรับ ถุงยังชีพ ตอนเราอยู่ได้มาหนึ่งถุง...ในถุงกะไม่ต้องบรรยาย...ของมันก็ใช้ยังชีพในยามขับขัน..

ต่อมาคือเงินช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู ตอนนั้นฉันไม่อยู่แล้ว คนไม่อยู่แต่บ้านยังอยู่ เรือกส่วนไร่นายังอยู่ ถูกน้ำแช่ ถูกน้ำกัด..ความเสียหายเกิดกับทรัพย์สิน เงินช่วยเหลือจึงได้มา แต่ก็แหลงกันยาว เพียงแค่คำว่า...เจ้าของบ้านไม่อยู่ ...เท่านี้แหละ ครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีที่ไม่โดนริดรอนสิทธิ์

แต่ครั้งก่อนๆ บ้านฉันเป็นบ้านที่ไม่ได้สิ่งของ...เพราะสาเหตุว่า...คนไม่อยู่บ้าน เจ้าของทะเบียนบ้านไม่อยู่..มีแต่ผู้อาศัยนอกทะเบียน...ผู้อาศัยนอกทะเบียน...ฉันอยากรู้ว่าเวลาน้ำมันท่วม มันแยกหม้ายว่า ไม่ท่วมผู้อาศัยนอกทะเบียนบ้าน...มันเลี้ยวอ้อม มันไปท่วมคนที่อยู่และมีชื่อในทะเบียนบ้านเหอะ.....

สิ่งของบริจาค..เขาบริจาคให้คนเดือดร้อน เงินเยี่ยวยา เขาให้เยียวยาในทรัพย์สินที่เสียหาย ถึงตัวฉันไม่อยู่ แต่บ้านฉันอยู่ พื้นที่ฉันเสียหาย........ตรงนี้ต่างหากล่ะ คือประเด็น....บ้านมีทะเบียนบ้าน บ้านมีเลขที่บ้าน ไ่ม่ใช่กระต๊อบสร้างทิ้งไว้ที่ชายนา อันนี้ไม่ต้องมาให้เงินเยียวยา ตามเหตุผลว่าไม่มีเลขที่บ้าน....แต่บ้านหลังไหนที่มีเลขที่ ถึงแม้นเจ้าบ้านจะไม่อยู่ แต่มีผู้อื่นอาศัย บ้านหลังนั้นกะเค้ารวบบ้านเลขที่ในเอกสารที่ส่งไปให้ทางหน่วยงานรับผิดชอบอยู่แล้ว...แล้วเงินมันจะต้องมาตามจำนวนบ้านเลขที่...พอมาถึงแล้ว...หยับจะมีปัญหา.....ประเด็นหลัก เหตุผลนั่นแหละ....

ครั้งนี้น้ำท่วมอีกแล้ว ไม่รู้ว่า...จะต้องแหลงกันยาวๆ เพียงแค่ความใจอันนิดเดียว...ง่ายๆและสั้นๆ นั่นคือ .....ความเดือนร้อน...จะคน สัตว์ หมา กา ไก่ ต้นไม้...ทุกอย่างคือผลจากน้ำท่วม....

ไม่ใช่ว่า...........เจ้าของบ้านไม่อยู่..........จบประเด็น..






วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

อารมณ์คนเราบางครั้งดีบางครั้งร้าย เค้าเรียกว่า ผีเข้าผีออก แต่บางครั้งนิสัยของคนมาจากกมลสันดาน กมลสันดานดีบ่งบอกถึงว่าคนนั้นนิสัยดี เค้าว่า ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว กะจริงทั้งเพ ทั้งนี้ทั้งนั้นจิตสำนึกคนเรามีแค่ไหน การละเมิด ละ เลิก สิ่งไม่ดี สิ่งที่เค้าว่าชั่วๆ มีแค่ไหน บางคนใช้สติก้าวร้าว ชั่วร้ายนำพา ความปราถนาทั้งปวง มันกะส่งผลถึงการกระทำ ที่กระทบกระเทือนผู้อื่น สร้างความเดือดร้อนทั้งใจและกาย สร้างความเสียหายสร้างรอยร้าวแก่ครอบครัว แก้วที่มันร้าวยากที่จะประสาน นอกจากทุบให้แตกละเอียดแล้วหลอมใหม่ แต่ถึงจะหลอมจะหล่อยังไงมันกะยังมีคำว่าแก้วเก่า ของเก่า เป็นชะงักติดหลังอยู่ดี

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนักไม่รู้อีตายตอเช้า ต่อรือ โปรดทำความดี ก่อนที่จะไปเกิดใหม่ ถึงไม่รู้ว่าอีได้เกิดเป็นไอ้ไหร อย่าไปหวังในภพหน้าต๊ะ ขอแต่ทำความดีให้คนรอบข้างบายใจ บายกาย ขอเวลาแห่งความสุข จงกลับคืนมาบ้านเราด้วยเถิด...พี่น้องเหอ...

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำดำน้ำท่วม

อินเทรนด์กันสักหิดแหละหวางนี้เรื่องน้ำท่วมทั่วไทย หันไปทางไหนกะแหลงกันแต่เรื่องน้ำท่วม เพราะปีนี้มันมีโปรโมชั่นทั่วไทย ฝนตกแจกจ่ายกันทั่วถึงจนทั่วทุ่งและท่วมทั่วประเทศ แหลงถึงบ้านเราปกติมันท่วมทุกปีอยู่แล้วแต่ว่ามันอีหนักเท่าไหร่แค่นั้นเอง ปีนี้ได้ยินว่าหนัดแน่น ออร์เดิฟด้วยดีเปรสชั่น ตามด้วยฝนฟ้าคะนอง เสียงว่าคืนเดียวไปฉาดทั้งหลังคา สวนยาง ไร่นา ป่าไม้ ล้มเป็นหน้ากลอง ราบคาบ ฟังโหมอยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟัง เค้าว่ามันดังมาวี่ๆๆๆ วูม วี่ๆๆๆๆๆ โป้ง วุม...อ้าๆๆๆ ไอ้ไหรล่ะ มีคำเอื้อนเอ่ยมาก่อน...กะพายุแหละ มันพัดมาดังวี้ๆๆๆ ถึงต้นไม้ล้มดังวุม เสียงดังครึกครื้นเค้าว่า คืนนั้นไม่ได้หลับไม่ได้นอน กลัวหลังคาอีปลิวมั้ง กลัวเรินอีล้มหนำอีปลวก ต้นหยวกอีฟาด ถึงกะพอหวางๆทุกๆครัวออกมาสำรวจผลงานการประกวดแรกคืนที่ผ่านมาเสียงกรรมการว่า ผลการประกวดเมื่อคืนนี้ .... ต้นยางห้าไร่เหลือห้าต้น ต้นเทียมล้มสิบหวา ข้าวในนาเห็นแต่ยอดไรๆ ต้นลองกอง ทุเรียน มังคุด ถอนรากถอนโคน..แพลมแล้วพี่น้องเหอออ บางคนถึงกับเขาอ่อน หน้ามืดตาลาย ถนนหนทางเต็มไปด้วยต้นไม้ล้มทับ สายไฟขาด โหมไปหลาดได้หยุด อีไปปรือล่ะ ต้นไม้มันก่อม๊อบประท้วง อิอิ ล้มปิดหนนฉาด กะหนักในรอบหลายๆปีบ้านเราปีนี้....คิดถึงสมัยก่อนเราเด็กๆ เวลาน้ำท่วมหนุกหรอยนิ เล่นน้ำจนผ้าเปียกไม่มีอีเปลี่ยน โหมหาปลา ลงกัด ดักลอบ กะออกกันทั้งวัน แม่บ้านหน้าที่ทำปลากะทำกันเป็นโคมๆ ใส่เกลือรมแดดหนอยๆ ทอดหน่อแกงส้มปลาช่อนกับยวก ซดทีได้แรงอก...สมัยก่อนน้ำท่วมไม่ได้สร้างความเดือดร้อนมากมายเหมือนสมัยนี้...เพราะเมื่อก่อนบ้านเราสวนไม่ค่อยมี หมู่บ้านมีแต่ทุ่งนา น้ำท่วมกะไม่เกินสามวัน เค้าเรียกน้ำหลากเสียมากหวา ข้าวปลาในนากะไม่ทันอีได้เปื่อยเสียหาย แต่มาตอนนี้น้ำมาทีกะท่วมเร็วแล้วกะขังแช่หล่าว เพราะไอ้ไหร เพราะถนนที่ยกสูง ไร่นาส่วนผสมที่ขุดดักขวางทางทางน้ำ การระบายได้ช้า มันกะเลยขังแช่ สี่ห้าวันข้าวในนากะเริ่มเน่าแล้ว เสียหายไปหลายทอดหลายต่อ ... บางคนปลงได้ แหลงง่า่ยๆภัยธรรมชาติ บางคนกะนั่งทอดอาลัย ของที่สร้างสมมาหลายปี เหม็ดแล้วสาวเหอ...สวนยางกว่าจะปลูกกว่าจะได้กรีดกะหกเจ็ดปี ทุนที่ลงที่ทำไปกะหลายบาท งานนี้กะไม่รู้ใครอีช่วยใคร ถือว่าเป็นคราดวงอับโชคดับกะแล้วกันพี่น้องเหอ..ชีวิตไม่สิ้นกะต้องดิ้นกันไป สมบัติเงินทองเป็นของนอกกาย เค้าว่าไม่ตายหาใหม่ได้ลุย...สิ่งสำคัญที่ติดตัวเราไปจนตายกะมีเพียงความชั่วดีเท่านั้นแหละพี่น้อง ปลงๆๆๆๆๆๆ......อาเมน...แอะๆ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

เรี่ยม

เรี่ยมเปี้ยวเลยงานนี้...เรี่ยมปึด...เรี่ยมเปี้ยวเถี้ยวติ๊ก...ว่าเอ้อ...ว่าเออ...ไอ้ไหรหลาว ขึ้นต้นกะเรี่ยมเสียแล้ว บางคนนั่งเกาคิ้วหงิกๆ เกาหัวหงั่กๆ...ไอ้ไหรของมันว่ะ ถามมากะตอบให้ อิอิ กะหม้ายไหรเขียนแหละ อ้าๆๆๆ เรื่องของเรื่องคือว่า เรี่ยม...เรี่ยม แปลว่า สวย เสร็จ งดงาม ถูกต้อง ยกตัวย่างเช่น นาเติ้นข้าวขึ้นเรี่ยมนะ หมาเิติ้นอาบน้ำเรี่ยม แบบว่า หมาเติ้นอาบน้ำเหมือนคน สะอาด ไหรพันนั้นแหละ เป็นคำขยายคำนาม ขยายกิริยา ขยายกรรม ตามฉบับภาษาปักษ์ใต้บ้านเรา...สมัยก่อนแลได้เหอะตอนที่เรายังเด็กๆ คำนี้ฮิตได้แรง เหมือนกับคำว่า แนวๆ ของเด็กสมัยนี้...แลได้เหอะ แหลงไอ้ไหรกะต้องตามด้วยเรี่ยมเปี้ยว..บางคนต่อ เถี้ยวติ๊ก..แบบว่าเอาให้ถึงใจแหละ เด็กๆสมัยก่อนหม้ายโทรทัศน์อีแล วันๆกะเล่นอยู่ตามลานบ้าน ลานหญ้าโล่งๆ หน้าลูกยางหล่นก็หอบถุงถือถังแล่นเข้าป่ายาง เก็บลูกยางขาย ได้มาสักสองสามบาทกะดีฉาบตายแล้วสมัยก่อน หลายบาทอยู่เด้ หนมกวนชิ้นยี่สิบห้าตางค์นิ หนึ่งบาทกะได้สี่ชิ้น พุงปริ้นเลย

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น้ำดำวันนี้

น้ำดำบ้านฉานวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ทุกคนสบายดีกันหม้าย เรื่องราวมากมายไม่มีใครอยากระบายถ่ายทอด อ้าวแล้วเราจะเขียนไอ้ไหรล่ะทีนี้ เอ้อคนเขียนกะอยู่ไกล ลำบากหลาวงานนี้ ว่ากะว่าไปตามเรื่องชีวิตคนเรา เกิดแก่ เจ็บ ตาย ชีวาวาย ดับสูญ .....ชีวิตคนกะพันนั้น ชีวิตสัตว์เดรัชฉานกะต้องเอาตัวรอด ดิ้นรน ต่อสู้เหมือนกัน โหมน้ำดำบ้านเรานอกจากมีสวนยาง สวนผลไม้แล้ว กะยังมีงานอดิเรกกันเหลา งานนี้กะเริ่มตั้งแต่หัวเช้ามุ่ยๆ จับเชือกเอ้าอุ้ย เอ้าอุ้ย ซู่ซู่ๆ....กุ๊บกั๊บ..กุ๊บกั๊บ...เสียงหายใจแรงๆ พร้อมกับเสียงเท้า...ของเจ้าของกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน..บางคนเรียก ไอ้กล้วย สู้ๆ เอ้า ไอ้โหนด ไอ้โพธิ์ ไอ้ดำ ไอ้นิล....แล้วแต่อีเรียกให้ถูกใจและถูกโฉลก กะได้แลแหละหลายตัวหลายคนผ่านไปผ่านมา กลิ่นตัว กลิ่นเหงื่อฟุ้งนิ ....กะงานนี้เรียกว่า งานพาวัววิ่ง อ้าๆๆ วัวชนคนสู้ วัวดูคนเชียร์ น้าๆลุงๆหลายคนบ้านเรามีวัวชนไว้ในครอบครอง เช้าๆกะพาวิ่งกันไกลหลายกิโลเมตร ผ่านไปผ่านมา วัวแต่ละตัวกล้ามเป็นมัดๆ บางตัวด้นต้องเอาไม้ไผ่สวนจมูกไว้บังคับทางไม่ให้มันหันหัวมาแทงคนพาวิ่ง เอ้อ ลำบากแต่ใจรักแล้วต้องใจโหดกันนุ ไม่โหดไม่ได้เวลาพาวัวเข้าบ่อนต้องใจสู้ใจโหดเห็นวัวเราชนแทงวัวเพื่อนแล้วได้แรงอก ถึงถ้าวัวเพื่อนแทงวัวเรากะต้องใจแข็ง เพราะฉนั้นคนเลี้ยงวัวชนต้องใจโหดใจกล้า เพราะมันไม่ใช่เลี้ยงหมาแมว...อ้าๆๆๆ แหลงเอาหรอยหลาวงานนี้...พอเสร็จพาวัววิ่งกะต้องมีให้วัวพัก ถึงคนพาวิ่งกะต้องมีหยุดเอาแรงมั้งแหละ สายๆสักหิด ที่พักวัวกะจอดเอ้ยล่ามไว้ข้างโรงน้ำชาแหละ วัวเล็มหญ้า คนพากินกาแฟ เสียงฉาวๆ ราวกับงานเลี้ยง คนพบปะคน แต่อย่าให้วัวปะทะกับวัวนะเดี๋ยวเป็นเรื่อง กะวัวชนมันคึกทุกวันนิ ถ้าว่าเจอคู่ต่อสู้หรือวัวชนตัวอื่นเดินผ่านไม่ได้มันต้องทำความเคารพ เอ้ยไม่ใช่ มันต้องทำเบ่ง ว่าเอ้ย ข้านี่แหละแข็งแรงกว่าแก...พร้อมทั้งก้มหัวยกหางชี้ ข้านี้พร้อมแล้วที่จะขวิดว่างั้น...ไปถึงลานร้านน้ำชากะมัดช่อเชือกวัวให้แน่นๆ ใช่ไตร อีได้นั่งซดกาแฟบายใจไม่ต้องมาแยกวัวชนวัวนั่นแหละพี่น้อง เหอว่าแหลงเหมือนได้เลี้งเองเลยเรา แอะๆ กะมันเห็นชนชิน เห็นทุกวัน เหมือนกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเค้าเสียแล้ว ผาง...(ตบอก) อิอิ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย..เพราะไหร เพราะเรานั้นชอบเลี้ยงแต่ไม่ชอบโหด...เลี้ยงไอ้ไหรกะได้ไว้เป็นเพื่อน หมา แมว ปลา นกตามทุ่งนา ของเราเพแหละ อิอิ เอ้ามาเกาะในนาเรากะนกเราแหละ เอ้อแหลงไปได้นกบินมาเกาะในนาเองกะว่าของเอง คนไอ้ไหรหลาว.....ก้ากกก คำตอบ....คนเห็นแก่....ส่วนรวมไง อ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เดอะด๊อก ยก เดอะ เทล...)

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คนต้นคิด

คนต้นคิด คนต้นแบบ หรือ ปราชญ์ชาวบ้าน แหลงง่ายๆ กะคือ คนแก่ๆ คนเก่าๆ ที่มีเรื่องราวต่างๆสามารถถ่ายทอดให้กับลูกหลานคนรุ่นหลังได้ต่อยอด หายากเข้าทุกวัน เพราะ คนสืบสานไม่ค่อยอยากรับ ไม่ค่อยสนใจการต่อยอด ภูมิปัญญาชาวบ้านกะลดน้อยถอยลงไปทุกที .... ถามเด็กสมัยนี้ว่า โหมสู้รู้จักต้นคลุ้ม ต้นคล้า หม้ายล่ะบ่าว คำตอบไม่ต้องออกจากปากของพวกเค้าหรอก เพราะสายตาที่สื่ออกมาพร้อมทั้งส่ายหน้า ว่า ไม่รู้
ในเมื่อปลายยอดไม่รับเอาสารความรู้ไปกลั่นกรองลองแล โคนต้นที่เปรียบเสมือนผู้ส่งท่อน้ำเลี้ยงก็คงต้องเหือดแห้ง และคงสูญสิ้นภายในไม่ช้า คนแก่ๆ พรานนก พรานปลา บ้านเราทั้งเลย เลยต้องทิ้งความชำนาญในการประดิฐษ์เครื่องมือที่สร้างจากภูมิปัญญาของคนแต่แรก เอาไว้เพียงแค่ได้ระลึกถึงเท่านั้น นั่งฟังพ่อเล่า เรื่องแร้วดักนก ทำไซดักกุ้ง ทำลอบดักปลาซิว ที่แกคงเหลือไว้ในความทรงจำ วีถีชีวิตคนบ้านเราแต่แรก คนกับธรรมชาติ คู่กัน เค้าหาเพื่อยังชีพ ไม่ใช่เพื่อการค้า เค้าดักเอาเท่าที่ได้ไม่ใช่ฆ่าเพื่อให้สูญพันธ์ ซึ่งต่างกับคนบางคนสมัยนี้ ที่ใช้ความทันสมัยของเทคโนโลยี บวกกับ ความละโมบโลภมาก ที่ต้องทำให้ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งฝอย หอยโขง ทั้งหลาย ต้องตาย ด้วยการใช้สายไฟช๊อต เพียงเพื่อต้องการอีเอาปลาช่อนตัวใหญ่ ปลาดุกตัวเถ้าๆ แค่นั้น ปลาที่รอดตายบางตัวถึงกับปากเบี้ยว ตาหลุน เพราะแรงไฟฟ้า .... กะน่าอนาถใจกับคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากหวาส่วนรวม....กรรมเท่านั้นที่จะตามเช็ดตามถองคนพวกนี้ได้ อย่างเราๆกะไม่อาจเอื้อมเพราะคนที่มีหน้าที่ตรงๆเค้ายังมองข้าม ......
พล่ามมายาวๆ กะไอ้ไหรหลาวล่ะ ไม่พ้นเรื่องบ่นจริงๆ อ้ายย๊ะ กะคนเขียนแก่แล้วนิ ไม่เคยได้ยินเหอะ ที่เค้าว่าๆ ...... คนหนุ่มชอบนั่งแล คนแก่ชอบนั่งบ่น ....อ้าๆๆๆ บ่นเอาหรอย บ่นเอามัน บนความเป็นจริงของคนสมัยนี้ทุกประการ ด้วยประการฉะนี้แล พี่น้องเอ๋ย

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ว่าไปตามเรื่อง

เ้อ้อช่วงนี้มีไหรดีมั้งอะ พ้นเดือนร้อนเมษาย่างเข้าหน้าฝนคนบ้านเราพันปรือกันมั้งหวางนี้ ฝนตกโหมตัดยางกะได้นอนรุ่ง เห็นดูกะแต่เด็กโรงเรียนกับแม่ค้าฝนอีมาฟ้าอีร้องกะต้องไป คนสวนคนไร่ที่รอฟ้ารอฝนกะพอได้เย็นใจ ต้นไม้ต้นไหร้กะได้รับฝนกันถ้วนหน้าไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดูดน้ำ กะน่าเห็นดูปีหนึ่งๆลงทุนไปหลายแต่รายได้กะไม่ค่อยอีคืนทุน ผลไม้ราคาถูกแรงแต่ราคายางแพงน่าแล พ่อเฒ่าแม่แก่ว่า โร้พันนี้กูปลูกยางให้แพลมไม่ดีหวา กะแต่แรกยางราคาถูก กรีดเป็นสิบๆไร่ได้เช้าไม่กี่บาท แถมแต่ก่อนงานหนักหวาสมัยนี้กรีดแล้วกะต้องมานั่งทำนั่งรีดให้เป็นแผ่นๆเสร็จแล้วกะต้องเอาไปตาก ตากจนแห้งถึงอีเอาไปขายได้ ราคากะจำๆได้โลสิบห้าบาท พ่อบอกว่ากุโค่นให้ฉาดอย่าให้เหลือไถ่แปรสวนยางเป็นสวนมังคุด สวนทุเรียนมั้ง อ้อแต่แรกมังคุดแพงหล่าวโลหนึ่งต่ำๆแล้วกะสามสิบคนเรากะต้องมองหาสิ่งที่ดีหวาเป็นสาเหตุให้ต้องมานั่งเช็ดน้ำลายกับราคายางอยู่ตอนนี้ คนที่เค้าไม่ตามกระแสรักต้นยางไม่เปลี่ยนใจกะได้นั่งนับเบี้ยแหละหวางนี้ อีหัวเราะหรืออีร้องให้ดี กะต้องจำใจยอมรับกับการตัดสินใจที่ผ่านมา เหอๆ กะมีตามกระแสยางเหมือนกันทุ่งนาสมัยก่อนตอนนี้กะเป็นสวนยางหมดแล้ว